ป้ายโฆษณา



ป้ายโฆษณา

ก่อนซื้อโทรศัพท์มือถือ หรือคอมพิวเตอร์มือสอง ตรวจ S/N ที่แจ้งหาย/ถูกขโมยที่นี่!! BlockSerial.Com
 

Blog Me!

เปิดกว้างสำหรับเพื่อนสมาชิกที่ชอบการเขียน การจัดบันทึก การเขียน blog ก็คล้ายกับการที่เรามีสมุดกันคนละเล่มในนี้ อยากเขียนอะไรก็เขียน จะแบ่งให้ผู้สนใจและเพื่อน ๆ ได้อ่านแล้วมีส่วนร่วมผ่านทาง comment ก็ได้ หรือจะอยากเก็บไว้เป็นการส่วนตัวก็ได้ การเขียน blog จะช่วยทำให้เรารู้จักการเรียบเรียงเรื่องราวที่ต้องการจดบันทึก การนำเสนอ และได้แบ่งปันความรู้ นานาทัศนะต่อกัน ที่สำคัญ! ยังเป็นการบันทึกไว้ในโลกอินเตอร์เน็ตที่ใคร ๆ ก็มีโอกาสได้เห็น blog ของคุณ!

โพสต์โดย amijung
amijung
amijung ยังไม่ได้ตั้งค่าประวัติส่วนตัว
สมาชิกยังไม่ได้ออนไลน์
เมื่อ อังคาร, 08 พฤษภาคม 2012
ใน บันทึกลูกรัก

เรื่องคุยของลูกตอนที่9(อย่าได้มีรอยตะปูตอกในใจ ไม่ว่ากับใครก็ตามที)

วันนี้คุณพ่อคุณแม่เป็นอย่างไรกันบ้างค่ะ.  ช่วงปิดเทอมนี้เด็กๆคุณลูกๆคงจะสร้างความปวดหัวให้ไม่ใช่น้อย        ดิฉันคิดว่าก็คงจะเป็นเหมือนกันทุกๆบ้านยิ่งถ้าบ้านไหนมีลูกหลายคนแล้ว ก็มักจะทะเลาะกันบ่อยหรือทะเลาะกันในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง. (ในมุมมองของผู้ใหญ่) ตอนแรกก็อาจจะแค่เสียงดังตะโกนใส่กันแล้วสุดท้ายก็จบด้วยการร้องไห้ ฝ่ายไหนชนะก็แฮปปี้ ส่วนฝ่ายไหนไม่ยอมรับก็ร้องไห้เสียอกเสียใจ สร้างความไม่พอใจเก็บไว้ สมัยเด็กๆ เราเองก็เคยผ่านมาแล้ว บางทีทะเลาะกับพี่ น้องในเรื่องไม่เป็นเรื่องพอมาคิดดูก็ให้ปลงว่าทำไปได้ เสียใจน้อยใจอะไรกันนักก็ไม่รู้. ตอนนี้เหมือนว่ากำลังมองดูลูกสาวสองคนว่าเค้าจะมีวิธีการจัดการกับปัญหาพัฒนาการระหว่างพี่กับน้องอย่างไร. โชคดีที่ลูกสองคนแม้จะทะเลาะกันมีตีกันบ้างแต่ก็ไม่รุนแรง.  ผู้ปกครองมือใหม่หลายคนก็คงปวดหัวไม่น้อยเวลาที่ลูกทะเลาะกัน สุดท้ายแล้วพบว่าไม่มีอะไรดีไปกว่าการเตรียมพร้อมก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ขึ้นก่อน มีหลายครั้งที่ลูกหงุดหงิดทุกข์ใจไม่สบายใจกับเรื่องที่เข้ามาในแต่ละวันและเอามาระบายให้คุณแม่ฟัง ตั้งแต่เรื่องเล็กๆไปจนถึงเรื่องใหญ่ และแล้วดิฉันเองก็พบว่ามีเรื่องเล่า.  ซึ่งเรียบเรียงจากนิทานพื้นบ้านในนิตยสารแฟมิลี่วีคเอน ที่เป็นสมาชิกอยู่ เอามาเล่าให้ฟัง เพราะการเล่านิทานนั้นดีกว่านั่งสอนลูกด้วยการบ่น. หรือพูดไปเรื่อยๆมากกว่าเป็นไหน. เหตุที่ดิฉันนึกเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาเพราะยูริ ลูกสาวผู้ลึกซึ้งถึง อีคิว ของดิฉันช่างเจรจานัก.  มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เค้าทะเลาะกับพี่สาวเรื่อง ขนม (. ประมาณว่าแบ่งไม่เท่ากัน เริ่มต่างไม่พอใจชักจะมีหงุดหงิดๆใส่กัน). แต่จู่ๆยูริก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อนว่า. หนูไม่ทะเลาะกับพี่เอมิแล้ว พี่เอมิเอาขนมไปเถอะ. หนูให้อภัยพี่นะ แล้วก็หันมาบอกคุณแม่ว่า คุณแม่ขา ดีใจไหมค่ะหนูเก่งหรือเปล่าหนูไม่ตอกตะปูในใจให้พี่เอมิแล้ว ดิฉันก็เลยบอกเก่งจังยูริไม่ตอกตะปูในใจของพี่แล้วยูริเองไม่มีรอยตอกตะปูในใจของหนูเหมือนกันจ๊ะ  ใจของเราก็ไม่ต้องทุกข์ จะทำอะไรก็คงมีแต่ความสุข ดังนั้นดิฉันจึง อดที่จะเอามาแบ่งปันให้เพื่อนๆที่อาจจะยังไม่เคยได้อ่านเรื่องนี้มาก่อนให้ทราบ เผื่อว่า ลูกๆของคุณอาจจะเข้าใจในเรื่องการสงบจิตสงบใจคิดไตร่ตรองและให้อภัยได้บ้าง ไม่มากก็น้อยนะคะเพราะเราเองก็หวังว่า อยากให้ทุกบ้านมีแต่ความรักและสามัคคีกันระหว่างคนในบ้านตลอดไปค่ะ(รวมไปถึงผู้คนรอบข้างด้วยนะคะ)
          เรื่อง ตะปูในใจ 
  เด็กน้อยคนหนึ่งชอบทำหน้างอ บึ้งตึง พ่อของเขาจึงคิดหาทางสอนลูกโดยให้ตะปูกับเขา 1 ถุงและบอกกับเขาว่าทุกครั้งที่รู้สึกโมโห หรือโกรธใครสักคนให้ตอกตะปู 1 ตัวเข้าไปกับรั้วหลังบ้าน.   วันแรกผ่านไปเด็กน้อยตอกตะปูที่รั้วหลังบ้านถึง 37 ตัว เขาเพิ่งเห็นว่าวันนี้ได้โกรธหรือโมโหใครไปถึง 37 ครั้ง. วันต่อมาเด็กน้อยจึงพยายามระงับความโกรธในใจ ทำให้จำนวนตะปูที่เขาตอกในแต่ละวันค่อย ๆลดจำนวนลงเรื่อยๆ จนในที่สุดเด็กน้อยก็ไม่ต้องตอกตะปูอีกต่อไป เขาจึงไปบอกพ่อว่า " เขาไม่จำเป็นต้องตอกตะปูอีกแล้ว และพบว่าการควบคุมอารมณ์ของตนเองให้สงบง่ายกว่าการตอกตะปูตั้งเยอะ"พ่อของเขายิ้มและบอกกับลูกว่า. " ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆต้องพิสูจน์ให้พ่อรู้โดยวันไหนมี่ลูกสามารถควบคุมอารมณ์ฉุนเฉียวของตนเองได้ไม่รู้สึกโกรธใครเลย.  วันนั้นให้ถอนตะปูออกจากรั้ว 1 ตัว"
     วันแล้ววันเล่า เด็กน้อยคนนั้นก็ค่อยๆถอนตะปูออกทีละตัวจาก1 เป็น2. จาก 2 เป็น 3. ในที่สุดตะปูทั้งหมดก็ถูกถอนออกจนหมด เด็กน้อยดีใจมาก.  รีบวิ่งไปบอกพ่อของเขา พ่อไม่ได้พูดอะไรแต่จูงมือลูกออกไปที่รั้วหลังบ้าน และบอกให้มองกลับไปที่รั้วนั้น.     เด็กชายเห็นสิ่งที่เขาไม่เคยสังเกตเห็นมันมาก่อนนั่นคือบนรั้วไม้นั้นมีรูพรุนเต็มไปหมดพ่อจึงสอนว่า เมื่อใดก็ตามที่เราทำอะไรลงไปโดยใช้อารมณ์สิ่งนั้นจะเกิดเป็นรอยแผลเหมือนกับตะปูที่ทิ่มแทงไปในจิตใจของผู้อื่นที่ต่อให้เราถอนมันออก หรือ ขอโทษ สักกี่ครั้ง ความเจ็บปวดและรอยแผลนั้นก็จะยังคงอยู่ตลอดไป
        ดิฉันเห็นด้วยกับกับเนื้อเรื่องนี้อย่างมาก.    เมื่อเวลาที่ใครทำอะไรให้เราไม่พอใจ เราก็มีรอยตะปูเกิดขึ้นแล้ว อยู่ที่ว่าเราจะเป็นใจที่อ่อนแอหรือเข็มแข็ง ถ้าอ่อนแอเราก็จะเกิดรอยตอกตะปูเต็มไปหมด แต่ถ้าเรารู้เท่าทัน เราก็ยังพอจะป้องกันการเกิดรอยตอกตะปูในใจได้.  ไม่ว่าเราจะไปเพิ่มรอยตะปูให้ใคร  หรือใครจะมาเพิ่มรอยตะปูให้เรา(ทั้งแบบที่ตั้งใจอย่างมากหรือจะเพราะอารมณ์พาไป)จงคิดไตร่ตรองให้ดีก่อนนะคะ.   มีอยู่ 3อย่างในโลกนี้ที่ผ่านมาแล้วก็จะไม่สามารถเรียกมันกลับคืนมาได้. คือ เวลา คำพูด และโอกาส. คุณผู้ปกครองเห็นด้วยไหมค่ะ.  รักลูกก็ต้องใจเย็นๆนะคะ. ดิฉันก็กำลังทำอยู่เหมือนกัน เป็นกำลังใจให้คุณพ่อคุณแม่ทุกท่านนะคะ
โหวตให้คะแนนบทความนี้
คำค้นหา: ไม่ระบุคำค้นหา
amijung (657 คะแนนที่ได้รับ)
amijung ยังไม่ได้ตั้งค่าประวัติส่วนตัว
เหรียญรางวัล:

ความคิดเห็น

kruna314
kruna314
kruna314 ยังไม่ได้ตั้งค่าประวัติส่วนตัว
สมาชิกยังไม่ได้ออนไลน์
kruna314 อังคาร, 08 พฤษภาคม 2012

ขออนุญาตแชร์เรื่องตะปูในใจด้วยนะคะ

amijung
amijung
amijung ยังไม่ได้ตั้งค่าประวัติส่วนตัว
สมาชิกยังไม่ได้ออนไลน์
amijung อังคาร, 08 พฤษภาคม 2012

ยินดีเลยค่ะครูนา. ยิ่งเล่าให้ฟังตั้งแต่ยังเด็กจะได้มีโอกาสรู้จักการควบคุมอารมณ์โกรธได้ดีกว่ารอให้เด็กๆโกรธกันไปมากมายแล้วค่ะ

แม่น้องกานต์
แม่น้องกานต์
แม่น้องกานต์ ยังไม่ได้ตั้งค่าประวัติส่วนตัว
สมาชิกยังไม่ได้ออนไลน์
แม่น้องกานต์ อังคาร, 08 พฤษภาคม 2012

ยูริจังมี อีคิวดีจริงๆด้วยนา รู้จักวิธีจัดการกับปัญหาที่สำคัญระงับอารมณ์ได้ซึ่งในเด็กเล็กๆแล้วส่วนใหญ่ไม่มียอมกัน
ต้องสู้กันสุดฤทธิ์จนมีคนเสียน้ำตา และผปค.ก็อาจจะแก้ปัญหาโดยเกลี้ยกล่อมให้คนพี่ยอมเสียสละให้คนน้อง
ซึ่งก็เป็นการสร้างรอยตะปูในใจเด็กได้เหมือนกัน

น้องกานต์ก็ยังไม่สามารถระงับความโกรธได้ยังต้องฝึกเรื่องการควบคุมอารมณ์ตัวเองอีกมาก ตอนนี้เจ้าตัวดีไปเข้าค่าย
ที่อพวช.เดี๋ยวพรุ่งนี้กลับมาต้องเล่าเรื่องตอกตะปูในใจให้ฟังก่อนนะนอนซะแล้ว :):)

กรุณา เข้าระบบ หากต้องการแสดงความคิดเห็นของคุณ