เมื่อ 12 มี.ค.57 ที่ผ่านมาเป็นวันสุดท้ายของการเรียนชั้นป.4ของเอมิจัง.     เป็นวันที่มีความสุขที่สุดของลูกสาวและคุณแม่เพราะเป็นช่วงที่ผ่านการเรียนการสอบที่ค่อนข้างจะทรหดมากในความคิดของคุณแม่       เนื่องจากการขึ้นมาเรียนในช่วงชั้นที่ 2.   คือการเริ่มเข้าเรียนระดับชั้น ป.4ครั้งนี้  เอมิต้องมีการปรับตัวเริ่มเรียนภาษาที่ 3.     ซึ่งได้เลือกเรียนภาษาญี่ปุ่น.       วิชานี้ มีการบ้านพอสมควร เอมิชอบเรียนญี่ปุ่นมาก สนใจใส่ใจใฝ่เรียนอยากรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับญี่ปุ่น.     เธอทุ่มเทเอาใจใส่ให้น้ำหนักกับการเรียนภาษาญี่ปุ่นอย่างชนิดที่เรียกได้ว่าหมดหัวใจเลย.    เหตุผล อาจจะด้วยว่า เธอชอบและประทับใจในตัวเซนเซ(อาจารย์)อายูมิของเธอมากๆก็เป็นได้.การเรียนการสอน ภาษาญี่ปุ่นของที่นี่นับว่าได้มาตราฐานมาก เพราะเอมิได้ฝึกตั้งแต่ฟัง เขียน อ่าน พูด ทุกอย่างต้องเป๊ะๆตามหลักภาษาของญี่ปุ่นจริงๆ อาจารย์เอาใจใส่ละเอียดดีด้วยนับว่าเป็นโชคดีของเอมิที่ได้อยู่กลุ่มที่มีอาจารย์สอนดีอย่างนี้  จนเอมิเก่งภาษาญี่ปุ่นมากกว่าคุณแม่ซะอีก

  แต่เมื่อใช้เวลาทุ่มเทให้เรื่องหนึ่งอย่างเต็มที่       ก็พลอยฉุดเวลาในการทบทวนเอาใจใส่ในวิชาอื่นๆให้น้อยลงไปด้วย. สังเกตได้เลยว่า เอมิเริ่มมีปัญหากับการเรียนภาษาอังกฤษซึ่งมีการเปลี่ยนอาจารย์มาสอนหลายคนมาก เอมิต้องปรับตัวในการเรียนกับteacherที่หมุนเวียนมาใหม่ตลอดทั้งปีการศึกษา.   ต้องปรับตัวเรื่องการฟังทั้งสำเนียง และบุคลิกพฤติกรรมการสอนของอาจารย์แต่ละท่านก็แตกต่างไม่เหมือนกันเลย ซึ่งมีทั้งที่เอมิชอบและไม่ชอบ อาจารย์บางท่านพูดแล้วเอมิเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง ตามทันบ้าง ไม่ทันบ้าง. จนบางครั้งเริ่มมีเบื่อบ้างเหมือนกัน.    .  ประเมินจากผลการสอบคะแนนเริ่มต่ำลงๆจนชักจะน่าเป็นห่วงว่ามันเกิดอะไรขึ้น.  ทำให้ได้เจอสาเหตุของปัญหาที่ไม่อาจปล่อยผ่านไปได้.  เริ่มจากในห้องเรียน เด็กในวัยนี้เริ่มมีความเป็นตัวของตัวเอง.       มีการพูดคุยในกลุ่มเด็กๆกันเองมากขึ้น ความสนใจในบทเรียนลดลง. ดังนั้นดิฉันจึงต้องกำชับและทำสัญญากับลูกว่า.    ขอให้มีสติในการเรียนเพิ่มมากขึ้น หยุดคุยในห้องกับเพื่อน.     พยายามเปิดหูเปิดตาตั้งใจฟังมากขึ้น ต่อมาก็พบว่า คำศัพท์ของลูกเริ่มปรับระดับความยากและเยอะขึ้น ต้องหมั่นจดและท่องศัพท์ คำไหนไม่รู้ต้องจดคำแปลอย่านั่งปล่อย ผ่านไปเฉยๆ        มีสมุดจดคำศัพท์. จากนั้น เดิมที่ไม่เคยมีสมุดจดเกี่ยวกับเนื้อหาภาษาอังกฤษมาก่อนหน้านี้เลยก็ ต้องมีสมุดจดรายละเอียดเกี่ยวกับเนื้อหาเวลาเรียนstructure.     เพราะอาจารย์ไม่ได้มาบอกให้จดหรือบังคับเด็กนักเรียน ใครจดไว้แล้วเอาไปทบทวนต่อก็จะได้ความรู้เพิ่มเอาไปอ่านซ้ำให้เข้าใจ.       ซึ่งแต่ก่อนเอมิไม่เคยมีการจดโน้ตที่เรียนภาษาอังกฤษเลยใช้การฟังให้เข้าใจล้วนๆเท่านั้น(ซึ่งมันไม่เพียงพอแล้ว).    และตอนนี้ก็รู้แล้วว่ามันจำเป็นต้องมี(ก็ตอนท้ายๆปลายภาคแล้ว กว่าจะจับจุดถูก)

           ข้อสำคัญถ้าไม่เข้าใจตรงไหนพยายามจดไว้แล้วเอามาถามหรือหาคำตอบ เวลาไม่รู้ไม่เข้าใจคำศัพท์คำไหนก็ต้องรู้ให้ได้อย่าปล่อยผ่าน.  สุดท้ายคือการขอคำแนะนำจากอาจารย์ที่สอนว่าลูกเรายังไม่เข้าใจตรงไหน จะได้แก้ไขทัน. มีอยู่ช่วงหนึ่งที่คะแนนเกรดภาษาอังกฤษตกต่ำลงอย่างน่าใจหาย (คิดในใจสงสัยปีนี้คงจะไม่ได้รับเกียรติบัตรแน่ๆ เพราะเกรดฉุดลงมาเยอะมาก ขนาดเพื่อนผปค.ท่านอื่นยังไม่อยากจะเชื่อ). ได้แต่บอกเอมิว่า เราต้องยอมรับความจริง หาทางแก้ไขและเดินหน้าต่อไป. ทำให้ดีที่สุด แล้วผลมันจะออกมาอย่างไรก็ต้องยอมรับผลของมัน. เอมิน้ำตาซึมถามว่า หนูจะทำอย่างไรดี. หนูอยากได้เข็มเชิดชูเกียรติเหมือนพี่ม.6(ซึ่งแต่ละปีจะมีประมาณ คนเดียวเพราะต้องได้รับเกียรติบัตรต่อเนื่องตั้งแต่ป.1-ม.6ซึ่งมันเป็นไปได้ยากมากๆๆๆๆ). เอมิได้รับเกียรติบัตรมาโดยตลอดและยังอยากรักษาความภาคภูมิใจนี้ไว้(ซึ่งเป็นความใฝ่ฝันของเอมิ).  มาถึงตรงนี้แล้ว วิกฤติที่มากระทบใจของเอมิจะทำอย่างไรกันดี??

              เมื่อดิฉันได้คุยกับเอมิว่าคะแนนภาษาอังกฤษของเค้าต่ำมาก ถึงแม้จะสอบไม่ตกแต่ก็ไม่ดี เมื่อประเมินเกรด จากการวางแผนการเรียนแล้ว การสอบเก็บคะแนนครั้งสุดท้ายของปลายภาคจะเป็นตัวแปรสำคัญที่สุด.         ที่จะดึงเกรดเฉลี่ยรวมให้มากกว่า3.8 ได้หรือไม่(เพราะของป.4 ขึ้นไป เกรดต้องมากกว่า 3.8จึงจะได้รับเกียรติบัตร).  สิ่งที่เอมิทำก็คือ. ตั้งใจและสนใจการเรียนในชั่วโมงมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากเดิมที่ไม่เคยจดคำแปลศัพท์ในหนังสือเลย. ปรากฎว่ามีการเขียนแปลคำศัพท์ที่ไม่รู้.   เอมิหาสมุดจดเนื้อหาที่อาจารย์สอนเพิ่มเอง มีสมุดจดคำศัพท์. และพยายามอ่านหนังสือภาษาอังกฤษมากขึ้น.  พยายามจะใช้หรือแต่งประโยคพูดกับคุณแม่มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด. ดิฉันเคยคุยกับลูกว่า ทำไมก่อนหน้านี้(ก่อนที่จะสอบได้เกรดไม่ดี  ทำไมถึงไม่ตั้งใจเรียน อาจารย์บอกว่าคุยกันในห้องเยอะมาก.  เอมิบอกว่า teacherที่มาสอนแทนteacherคนก่อน คนนี้เค้าพูดไม่รู้เรื่อง เวลาสอบฟัง หนูก็ไม่เข้าใจ จะให้หนูมาบอกคุณแม่ว่าหนูไม่เข้าใจตรงไหน หนูก็ไม่รู้จะบอกคุณแม่อย่างไร เพราะหนูก็ไม่รู้เรื่องเหมือนกันอ่ะ(. เออ.  นั่นนะสิ ก็ลูกฟังไม่รู้เรื่องแล้วจะเอาอะไรมาถาม มาบอกเราล่ะ ). ปัญหามันก็เลยเป็นงูกินหาง teacher. สอนไม่เข้าใจ เด็กเริ่มเบื่อ ไม่สนใจ คุยกันเอง. Teacher. ก็ไม่เข้าใจเด็ก ใครอยากฟังก็ฟัง ใครไม่ฟังก็ปล่อย เมื่อคนไม่ฟังteacher เวลาที่สอน. ก็บอกว่าเด็กเอาแต่คุย ไม่สนใจการเรียนเองทำให้เกรดคะแนนสอบออกมาไม่ดี. ให้เด็กไปฝึกอ่านเพิ่มเติมเอง เออ...แล้วแบบนี้   แล้วนักเรียนจะไปรอดไหม หากไม่มีผปค.มาคอยดูแลเอาใจใส่.  สุดท้ายได้อาจารย์คนไทยที่ดูแลวิชาอังกฤษ คอยช่วยให้คำแนะนำในเนื้อหาที่เรียนที่สอนบ้าง.      เลยมาถึงบางอ้อว่า.  คำศัพท์ที่บอกว่าใช้ออกสอบนั้นอยู่ในเนื้อหาการเรียน (แต่จริงๆแล้วเป็นคำศัพท์ที่เด็กๆต้องรู้สะสมมาตั้งแต่ ป.1-3มาแล้วจนถึงปัจจุบันนะค่ะ. อาจารย์จะเอาคำไหนมาออก เด็กก็น่าจะรู้). มันทำให้ดิฉันต้องกลับมารีวิว คำศัพท์ในแต่ละประเภทต่างๆที่เคยเรียนมา เรียกได้ว่า เอมิก็ต้องเพิ่มความกระตือรือร้นในการจำ. การหัดเขียนประโยคในการสอบเขียนบทความสั้นๆของวิชาภาษาอังกฤษเพิ่มมากขึ้นโดยปริยาย.  วิกฤติของเกรดที่ตกต่ำ พลิกกลับมาเป็นโอกาสของการที่เอมิจะได้เรียนรู้ตัวเองในการแบ่งเวลาในแต่ละวิชาว่าควรจะทำอย่างไร        การที่เค้าได้คะแนนต่ำลงจึงเป็นตัวกระตุ้นให้รู้จักรับผิดชอบการเรียนในแต่ละวิชาที่ตัวเองประมาทได้มากขึ้น. รู้ว่าจะปิดจุดอ่อนของตัวเองตรงไหน. สิ่งที่มีค่าในตัวเอมิคือ ใจที่แข็งแกร่ง ความอึดและความมานะพยายามสู้จนถึงที่สุด. ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆมีความรับผิดชอบสูง.     มันเป็นจุดเด่นมากในตัวเอมิที่ทำให้เอมิประสบความสำเร็จ.  . ช่วงป.4 เอมิเริ่มอ่านหนังสือเองเกือบทั้งหมดมีเฉพาะภาษาอังกฤษที่ดิฉันไม่อาจปล่อยหรือวางใจได้จริงๆยังคงต้องคอยเป็นเพื่อนคู่คิดคู่อ่านไปกับลูก ส่วนวิชาอื่นดิฉันก็ใช้การตั้งคำถามแล้วให้ลูกตอบให้ฟัง. สำหรับคณิต วิทย์ ภาษาไทย ญี่ปุ่น. เกือบทุกวิชาของเอมิจะได้เกรด4มีเพียงแค่บางวิชาเท่านั้นที่ได้3.5 สำหรับ ป.4นี้ถือว่าเนื้อหาของแต่ละวิชาเริ่มเยอะและละเอียดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด.  เคยได้คุยกับผปค.ป.5บอกว่า. เนื้อหา ป.5 ยากกว่านี้มาก.  โอ้...แม่เจ้า. ขนาดของป.4 ยังใจตุ้มๆต่อมๆว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง. ปิดเทอมนี้คงต้อง เตรียมพร้อมสำหรับป.5 ไว้บ้างแล้ว..

หลังจากสอบปลายภาคเสร็จเหมือนกับว่าเอมิวิ่งผ่านสมรภูมิรบสำหรับการเอาชนะใจตัวเอง ได้แต่รอลัพธ์ว่า มันจะออกมาเช่นไร..ดิฉัน.ก็บอกลูกว่า หนูทำดีที่สุดแล้ว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ขอให้เปิดใจยอมรับมันเถอะนะ..เอมิพยักหน้า(งั้นๆ).แล้วเอมิก็ไปวิ่งเล่นกับเพื่อน.ๆ กับน้องป.1. ลั้นล้ามากๆๆ...   เหมือนว่าหนูไม่อยากจะสนใจอะไรอีกแล้ว. ขอเล่นก่อนก็แล้วกัน...วันสุดท้ายของการเรียนการสอบ เรากลับออกจากโรงเรียนกัน หนึ่งทุ่มพอดีเป๊ะเลย เล่นกันให้สุดๆๆๆไปเลย..

เมื่อวันที่4 เม.ย.  ไปรับสมุดพกแจ้งผลการเรียนของเอมิ. ตื่นเต้นอ่ะ เอมิตื่นเต้นมาก เมื่อได้รับสมุดพกมาแทบไม่กล้าเปิด กลัวลูกคิดมาก. ไม่ดูรายละเอียดเกรดแต่ละวิชา แต่มองหาเกรดเฉลี่ยรวมเลย.   พอเห็นตัวเลข. เสียงกรี้ดแม่กับลูกดังเลยเพราะ เอมิได้. 3.87 ในที่สุด ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น มันยังมีคำนี้อยู่ในโลกนี้จริงๆ.ใครจะเกรดมากกว่า หรือจะได้เกรดมากกว่าใคร ไม่สนใจเลย เพราะบทเรียนนี้ที่สอนเอมิเรื่องความไม่ประมาทในการเรียนมันล้ำค่ามาก โชคยังดีที่เอมิสามารถปรับตัวแก้ตัวได้ทันไม่อย่างนั้นก็คงแย่เลย.   ขอบใจเอมินะที่ตั้งใจเรียนและรู้จักยอมรับความผิดพลาด รู้จักและพร้อมที่จะแก้ไขปรับปรุงตัวสนใจการเรียนเพิ่มขึ้น..หนทางยังอีกยาวไกลเป็นกำลังใจให้นะเอมิลูกรัก..จาก แม่^^