เสือ

พิมพ์

( 8 Votes )

เสือ


   

เสือ (อังกฤษ: Tiger) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในวงศ์ ฟิลิดี (อังกฤษ: Felidae) ซึ่งเป็นวงศ์เดียวกับแมวโดยชนิดที่เรียกว่าเสือ มักมีขนาดลำตัวค่อนข้างใหญ่กว่าและอาศัยอยู่ภายในป่า ขนาดของลำตัวประมาณ 168 - 227 เซนติเมตรและหนักประมาณ 180 - 245 กิโลกรัม รูม่านตากลม เป็นสัตว์กินเนื้อกลุ่มหนึ่ง มีลักษณะและรูปร่างรวมทั้งพฤติกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ แตกต่างจากสัตว์ในกลุ่มอื่น หากินเวลากลางคืน มีถิ่นกำเนิดในป่า เสือส่วนใหญ่ยังคงมีความสามารถในการปีนป่ายต้นไม้ ซึ่งยกเว้นเสือชีต้า เสือทุกชนิดมีกรามที่สั้นและแข็งแรง มีเขี้ยว 2 คู่สำหรับกัดเหยื่อ ทั่วทั้งโลกมีเสืออยู่ประมาณ 37 ชนิด ซึ่งรวมทั้งแมวบ้านด้วย

เสือจัดเป็น สัตว์นักล่าที่มีความสง่างามในตัวเอง โดยเฉพาะเสือขนาดใหญ่ที่แลดูน่าเกรงขราม ไม่ว่าจะเป็นเสือโคร่งหรือเสือดาว ผู้ที่พบเห็นเสือในครั้งแรกย่อมเกิดความประทับใจในความสง่างาม แต่ในขณะเดียวกันก็เกิดความหวาดหวั่นเกรงขามในพละกำลังและอำนาจภายในตัวของ พวกมัน เสือจึงได้รับการยกย่องให้เป็นราชาแห่งสัตว์ปา และเป็นจ้าวแห่งนักล่าอย่างแท้จริง

ปัจจุบันจำนวนของเสือใน ประเทศไทยลดจำนวนลงเป็นอย่างมากในระยะเวลาไม่ถึง 10 ปี เสือกลับถูกล่า ป่าภายในประเทศถูกทำลายเป็นอย่างมาก สภาพธรรมชาติในพื้นที่ต่างถูกเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย ส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ของมนุษย์เอง ทุกวันนี้ปริมาณของเสือที่จัดอยู่ในลำดับสุดท้ายของห่วงโซ่อาหารถือเป็นสิ่ง จำเป็น เพราะการสูญสิ้นหรือลดจำนวนลงอย่างมากของเสือซึ่งเป็นสัตว์กินเนื้อ จะส่งผลกระทบต่อโครงสร้างและระบบนิเวศทั้งหมด การลดจำนวนอย่างรวดเร็วของเสือเพียงหนึ่งหรือสองชนิดในประเทศไทย ทำให้ปริมาณของสัตว์กินพืชเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว จนทำให้ธรรมชาติเสียความสมดุลในที่สุด
 
ลักษณะโดยทั่วไป
เสือส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในป่าและทุ่งหญ้า ส่วนใหญ่ไม่ชอบน้ำเช่นเดียวกับแมวทั่วไป มีเพียงเสือโคร่งและเสือจากัวร์เท่านั้นที่ชอบน้ำ ยิ่งกว่านั้นสถานที่ที่พบเสือโคร่งบ่อยที่สุดมักจะเป็นแอ่งน้ำ ทะเลสาบ หรือแม่น้ำ เสือเป็นสัตว์ที่หากินโดยลำพัง อาหารหลักมักจะเป็นสัตว์กินพืชขนาดกลางอย่างเช่น กวาง หมูป่า และควาย ซึ่งจะล่าเหยื่อด้วยวิธีการเดิน ย่อง วิ่งไล่และตะครุบเหยื่อ อย่างไรก็ตามพวกมันอาจจะออกล่าสัตว์ที่ขนาดใหญ่กว่าหรือเล็กกว่าในสถานการณ์ ที่คับขัน

เสือมีลักษณะพิเศษคือสามารถ ซ่อนเล็บไว้ในปลายนิ้วเท้าได้ เมื่อต้องการจับยึดเหยื่อจะกางเล็บเท้าหน้าออก ส่วนเล็บเท้าด้านหลังจะใช้เป็นอาวุธสำหรับฉีกกระชากเหยื่อ และในขณะที่เสือวิ่งเล็บเท้าหลังจะช่วยยึดเกาะ ทำให้สามารถตะกุยพื้นเร่งความเร็วได้เร็วขึ้น นอกจากนี้วิธีการหดซ่อนเล็บของเสือยังเป็นวิธีการรักษาความแหลมคมของเล็บไว้ เพื่อป้องกันการขูดขีดขณะเดินหรือเคลื่อนไหวตามปกติ ศัตรูเพียงชนิดเดียวของเสือก็คือมนุษย์ ปัจจุบันเสือถูกล่าอย่างผิดกฎหมายเพื่อนำไปทำเสื้อขนสัตว์ และเป็นความเชื่อในการทำยาบำรุงกำลังของผู้ชาย

จากความเสียหายของถิ่นที่ อยู่ รวมทั้งการล่าเพื่อทำหนังขนสัตว์ จำนวนเสือตามธรรมชาติจึงลดน้อยลง เสือจึงเป็นสัตว์ที่อยู่รายการสปีชีส์ที่กำลังอยู่ในอันตราย เสือเป็นหนึ่งในสัตว์ที่อยู่ในระดับเหนือสุดของห่วงโซ่อาหาร เพราะการสูญสิ้นหรือลดปริมาณลงอย่างรวดเร็วของเสือ ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างและความสัมพันธ์ของห่วงโซ่อาหารและระบบนิเวศทั้งหมด การสูญพันธ์ของสัตว์กินเนื้อเพียงหนึ่งหรือสองชนิด จะทำให้กลุ่มของสัตว์กินพืชเพิ่มปริมาณขึ้นอย่างรวดเร็วจนกระทั่งธรรมชาติ เสียความสมดุล ปัจจุบันได้มีมาตรการคุ้มครองสัตว์กินเนื้อ โดยเฉพาะสัตว์ในกลุ่มเสือให้รอดพ้นจากการล่าของมนุษย์ เพื่อให้สัตว์กินเนื้อเหล่านี้ไม่สูญพันธุ์ไปจนหมด
 
วิวัฒนาการของเสือ

   
สัตว์ ในกลุ่มเสือซึ่งหมายรวมถึงเสือและแมวทุกชนิด ถูกจัดอยู่ในกลุ่มของสิ่งที่มีชีวิตในวงศ์ฟิลิดี เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมซึ่งมีขนปกคลุมทั่วทั้งร่างกาย มีปอดไว้สำหรับหายใจ หัวใจมี 4 ห้องและมีลักษณะที่สำคัญที่สุดคือ ตัวเมียมีเต้านมและน้ำนมไว้สำหรับเลี้ยงลูกอ่อน ซึ่งส่วนใหญ่การปฏิสนธิและเจริญเติบโตของลูกอ่อน จะเกิดขึ้นภายในมดลูกของตัวเมีย มีเขี้ยวที่ใช้ฆ่าเหยื่อ มีฟันกรามที่คมเหมือนมีดไว้สำหรับตัดเนื้อ ซึ่งพัฒนามาจากฟันกรามที่ทำหน้าที่สำหรับบดเคี้ยว มีข้อต่อสำหรับกระดูกสันหลังที่ยืดหยุ่นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการวิ่ง การเร่งความเร็วในการวิ่ง และการกระโจน มีนิ้วเท้า 5 นิ้วและเล็บแหลมคม สัตว์กินเนื้อเริ่มปรากฏตัวขึ้นเป็นครั้งแรกในโลกเมื่อต้นมหายุคซีโนโซอิก (อังกฤษ: Cenozoic) หรือเมื่อประมาณ 65 ล้านปีก่อน ซากดึกดำบรรพ์ของสัตว์กินเนื้อในยุคนี้ คือกลุ่มของสัตว์ที่เรียกกันว่าไมเอซิดี (อังกฤษ: Miacidae) ซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีขนาดเล็ก ลักษณะลำตัวยาว มีหางสั้น มีอวัยวะที่ยื่นออกมาจากลำตัวและข้อต่อที่สามารถยืดหยุ่นได้เป็นอย่างดี ลักษณะของไมเอซิดีจะคล้ายกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กในปัจจุบันคือ จีเน็ต (อังกฤษ: Genets) ซึ่งเป็นสัตว์ที่มีลักษณะคล้ายกับสัตว์จำพวกชะมด (อังกฤษ: Civet)

มีขนาดสมองที่เล็กและกะโหลกแบน มีอุ้งเท้าที่กว้างและนิ้วเท้าที่แยกออกจากกัน อาศัยในป่า แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือไวเวอร์ราวิน (อังกฤษ: Viverravines) และไมเอซิน (อังกฤษ: Miachines) ซึ่งมีการค้นพบซากดึกดำบรรพ์ในหินที่มีอายุประมาณ 39 ล้านปี และในช่วงระยะเวลา 39 ล้านปีก่อนนี้เอง ปลายสมัยอีโอซีน (อังกฤษ: Eocene) ซึ่งต่อกันกับสมัยโอลิโกซีน (อังกฤษ: Oligocene) เป็นช่วงเวลาที่สัตว์กินเนื้อปรากฏขึ้นบนโลกมากมายหลากหลายชนิด กระจายถิ่นฐานตามพื้นที่ต่างอย่างกว้างขวางจนก้าวขึ้นมาเป็นผู้ปกครองโลกแทนไดโนเสาร์ที่พึ่งจะสูญพันธุ์ ไป

สัตว์กินเนื้อที่เรียกว่า ไมเอซิดี คือ ไวเวอร์ราวินและไมเอซิน เป็นจุดเริ่มต้นวิวัฒนาการของสัตว์กินเนื้ออีก 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ อาร์กทอยเดีย (อังกฤษ: Arctoidea) และ แอลูรอยเดีย (อังกฤษ: Aeluroidea) ซึ่งลักษณะของอาร์กทอยเดีย คือสัตว์กินเนื้อที่มีรูปร่างคล้ายหมี ได้แก่สัตว์จำพวกหมี แร็กคูน แมวน้ำ วอลรัส เพียงพอน (วีเซิล) หมูหริ่ง (แบดเจอร์) และหมีแพนด้า ส่วนแอรูรอยเดีย คือสัตว์กินเนื้อที่มีรูปร่างคล้ายเสือหรือแมว ได้แก่เสือหรือแมวทุกชนิด ไฮยีน่า จีเน็ตหรือสัตว์ในกลุ่มชะมดทุกชนิด ซึ่งมีลักษณะที่คล้ายคลึงกับสัตว์ประเภทไวเวอร์ราวิน ในส่วนของลักษณะโครงสร้างของร่างกาย เช่นโครงสร้างของกะโหลก ฟันและเท้าซึ่งได้รับการพัฒนาจากการปีนป่ายมาเป็นการวิ่งแทน

สำหรับสัตว์ในกลุ่มของเสือใน ปัจจุบันคือ ฟิลิดี หรือที่เรียกว่า "สัตว์ในกลุ่มเสือที่แท้จริง" (อังกฤษ: True Cats) ซึ่งในที่นี้รวมถึงเสือเขี้ยวดาบบางชนิดที่สูญพันธุ์ไปแล้วด้วย แต่สำหรับเสือเขี้ยวดาบนั้นไม่จัดอยู่ในกลุ่มเสือที่แท้จริงและสัตว์กิน เนื้อที่มีลักษณะรูปร่างคล้ายเสือ แต่จัดอยู่ในกลุ่มที่เรียกว่า นิมราวิดี (อังกฤษ: Nimravidae) ซึ่งสูญพันธ์ไปจากโลกนี้เมื่อประมาณ 2 - 5 ล้านปีก่อน
 
สัตว์ที่มีลักษณะคล้ายเสือ และเสือที่แท้จริง
ในปี พ.ศ. 2488 นักโบราณชีววิทยากลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นชาวฝรั่งเศส ได้ศึกษาและเปรียบเทียบซากดึกดำบรรพ์ของสัตว์ที่มีลักษณะรูปร่างคล้ายเสือ อายุประมาณ 24 - 39 ล้านปีก่อน กับซากดึกดำบรรพ์ของเสือในยุคสมัยประมาณ 25 ล้านปีจนถึงปัจจุบัน พบว่าสัตว์ทั้ง 2 กลุ่มนั้นมีลักษณะพื้นฐานทางกายภาพที่แตกต่างกัน จึงตั้งชื่อสัตว์ในกลุ่มแรกว่า พาลีโอฟีดิลิดส์ (อังกฤษ: Paleofeilds) และสัตว์ในกลุ่มสองว่า นีโอฟีลิดส์ (อังกฤษ: Neofelids) และต่อมาในภายหลังนักวิทยาศาสตร์ได้ตั้งชื่อวงศ์ให้แก่สัตว์ในกลุ่มพาลีโอฟี ดิลิดส์ว่า "นิมราวิดี" และสัตว์ในกลุ่มนีโอฟิลิดส์ว่า "ฟิลิดี" ซึ่งก็คือกลุ่มของสัตว์คล้ายเสือหรือลักษณะของสัตว์ในกลุ่มเสือที่แท้จริง

สิ่งที่นิมราวิดิกับฟิลิดี วิวัฒนาการมาแตกต่างกันก็คือ กล่องหู (อังกฤษ: Auditory Bulla) ซึ่งเป็นโครงสร้างภายในกะโหลกและเป็นที่ตั้งของหูส่วนกลาง ซึ่งโครงสร้างของหูส่วนกลางนั้นประกอบไปด้วย กระดูกค้อน กระดูกทั่ง และกระดูกโกลน ซึ่งทำหน้าที่เชื่อมระหว่างเยื่อแก้วหูกับหูด้านใน สัตว์ในกลุ่มแอลูรอยเดียทั้งหมดจะมีลักษณะโครงสร้างส่วนนี้คล้ายคลึงกัน ยกเว้นก็แต่เพียงสัตว์คล้ายเสือในกลุ่มนิมราวิดีเท่านั้น ซึ่งสัตว์กินเนื้อในกลุ่มแอลูรอยเดีย จะมีกล่องหูที่โป่งพองเป็นโพรงขนาดใหญ่กว่าสัตว์ชนิดอื่นซึ่งกล่องหูมีขนาดใหญ่มากขึ้นเท่าใด ความสามารถในการได้ยินก็จะดีมากขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีแผ่นเยื่อบาง ๆ (อังกฤษ: Septum) ทำหน้าที่กั้นแบ่งกล่องหูเป็น 2 ห้อง แต่สัตว์ในกลุ่มนิมราวิดีจะไม่มีแผ่นเยื่อบางในกล่องหู ซึ่งแผ่นเยื่อบางและกล่องหูเป็นโครงสร้างสำคัญที่ใช้แยกระหว่างสัตว์คล้ายเสือกับเสือที่แท้ จริง

สัตว์คล้ายเสือในกลุ่มนิมรา วิดี ส่วนมากจะมีเขี้ยวบนที่มีขนาดยาวและตัน จนมองดูเหมือนกับว่ามีลักษณะคล้ายกับดาบโค้งขนาดใหญ่ ส่วนเขี้ยวที่อยู่ด้านล่างจะมีขนาดลดลงอย่างสัมพันธ์กัน นอกจากนี้กระดูกบริเวณกรามล่างก็จะสั้นลงเพื่อป้องกันไม่ให้เขี้ยวโค้งบด เนื้อตัวเอง สำหรับฟันบริเวณด้านข้างหรือฟันกรามก็จะลดจำนวนลง และวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงจนมีลักษณะคล้ายใบมีด สัตว์คล้ายเสือที่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดคือ บาบัวโรฟีลิส (Barbourofelis) ซึ่งลักษณะของ เขี้ยวดาบ เคยปรากฏในกลุ่มเสือที่แท้จริงหรือตัวอย่างที่รู้จักกันเป็นอย่างดีก็คือ สมิโลดอน (Smilodon) ซากของสมิโลดอนถูกขุดพบเป็นจำนวนมากในรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา มีอายุประมาณ 2 ล้านปี ในขณะที่ซากดึกดำบรรพ์ของสัตว์กินเนื้อรูปร่างคล้ายเสือในกลุ่มนิมราวิดี ซึ่งมีอายุเก่าแก่กว่า คืออยู่ระหว่าง 7 - 37 ล้านปี

บรรพบุรุษของเสือที่แท้จริง หรือสัตว์ในกลุ่มฟิลิดี ได้แก่ โพรไอลูรัส (Proailurus) และ ซูดีรูรัส (Pseudaelurus) เป็นสัตว์ที่มีขนาดเล็ก มีโครงสร้างของระบบฟัน คล้ายกับเสือในปัจจุบันมาก โพรไอลูรัสอยู่ในสมัยโอลิโกซีน (Oligocene) พบซากดึกดำบรรพ์ในทวีปยุโรปส่วนซูดีรูรัสนั้นเป็นสัตว์ในสมัยไมโอซีน (Miocene) ซึ่งพบซากดึกดำบรรพ์ทั้งในทวีปยุโรปและทวีปอเมริกา ซึ่งทั้งสองชนิดจะมีแผ่นเยื่อบางกั้นระหว่างกล่องหูเป็น 2 ส่วน ปัจจุบันสัตว์คล้ายเสือที่อยู่ในกลุ่มซูดีลูรัส ได้วิวัฒนาการมาเป็นเสือสกุลแพนเทอรา (Panthera) เช่น เสือโคร่ง และอย่างน้อยครั้งหนึ่งในอดีต สัตว์ในกลุ่มนี้ได้วิวัฒนาการรูปร่างและขนาดให้เล็กลง จนกระทั่งกลายมาเป็นเสือที่มีขนาดเล็กหลายชนิด ซึ่งเสือในสกุล ฟิลิส (Felis) เช่น แมวดาว แมวป่า เป็นต้น
 

สายพันธุ์
เสือแบ่งเป็นหลายชนิด ได้แก่
•     เสือ โคร่ง หรือ เสือลายพาดกลอน (Panthera tigris) โดยทั่วไปถ้าเอ่ยถึง เสือ เพียงคำเดียว มักหมายถึงเสือชนิดนี้ เสือโคร่งมีทั้งหมด 8 สายพันธุ์ คือ
     
-     เสือโคร่งอินโดจีน (Panthera tigris corbetti)
-     เสือโคร่งเบงกอล (Panthera tigris tigris)
-     เสือโคร่งสุมาตรา (Panthera tigris sumatran)
-     เสือโคร่งแคสเปียน หรือ เสือเปอร์เซีย (Panthera tigris virgata)
-     เสือโคร่งชวา (Panthera tigris sondaica)
-     เสือโคร่งบาหลี (Panthera tigris balica)
-     เสือโคร่งไซบีเรีย (Panthera tigris altaica)
-     เสือโคร่งจีนใต้ (Panthera tigris amoyensis)
*ปัจจุบันเหลือเพียง 5 สายพันธุ์ คือ อินโดจีน , เบงกอล , สุมาตรา , ไซบีเรีย และจีนใต้
•     เสือดาว หรือ เสือดำ (P. pardus)
•     สิงโต (Panthera leo)
•     เสือดาวหิมะ (Snow Leopard)
•     เสือจากัวร์ (Jaguar)
•     เสือชีตาห์ (Acinonyx jubatus)
•     เสือลายเมฆ (Neofelis nebulosa)
•     เสือเขี้ยวดาบ (Sabretooth)
•     เสือพูม่า หรือ สิงโตภูเขา (puma,panther,cougar)

ลักษณะทางกายวิภาค
เสือมีต้นตระกูลและบรรพบุรุษที่มีลักษณะคล้ายชะมด เมื่อประมาณ 39 ล้านปีก่อน วิวัฒนาการจากดึกดำบรรพ์จนกลายมาเป็นเสือในปัจจุบัน ซึ่งลักษณะโครงสร้างของร่างกายและลายขน ช่วยเพิ่มศักยภาพและประสิทธิภาพในการล่าเหยื่อ สัตว์ในตระกูลเสืออาศัยอยู่กระจัดกระจายทั่วทุกแห่งในโลก ยกเว้นในเขตแอนตาร์กติกา หมู่เกาะออสเตรเลีย หมู่เกาะอินดิสตะวันตก เกาะมาดากัสการ์และหมู่เกาะบางแห่งในคาบมหาสมุทร

สัตว์ในกลุ่มเสือปัจจุบันจัดอยู่ในวงศ์ ฟิลิดี (Felidae) จำแนกออกเป็น 4 สกุล คือ

   1. แพนเทอรา (Panthera)
   2. ฟีลีส (Felis)
   3. นีโอฟีลีส (Neofelis)
   4. อาซินโอนิกซ์ (Acinonyx)

    * เสือในสกุล แพนเทอรา เป็นเสือขนาดใหญ่ที่สามารถส่งเสียงคำรามได้ เพราะมีเส้นเอ็นหรือสายเสียงพิเศษเฉพาะ เสือในสกุลนี้ได้แก่ สิงโต เสือโคร่ง เสือดาว เสือจากัวร์ (jaguar) เสือดาวหิมะ (Snow Leopard)และ เสือพูม่า (puma) แต่สำหรับเสือดาวหิมะ ซึ่งเป็นเสือที่มีขนาดใหญ่แต่ไม่สามารถคำรามได้ ซึ่งสามารถจัดแบ่งสกุลของเสือดาวหิมะไว้ในสกุล อันเซีย (Uncia) เสือในสกุลแพนเทอราเป็นเสือที่มีขนาดใหญ่ เหยื่อของเสือสกุลนี้จึงเป็นสัตว์กินพืชขนาดใหญ่เช่นกัน แต่ในบางครั้งก็กินซากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีขนาดเล็ก นก หรือแม้แต่แมลง

    * เสือในสกุลฟีลีส เป็นเสือขนาดเล็กที่สุดในบรรดาเสือทุกสกุล เสือในสกุลนี้ไม่สามารถคำรามได้เช่นเดียวกับเสือดาวหิมะ แต่สามารถส่งเสียงขู่ได้ เช่น แมวดาว แมวป่า หรือ เสือไฟ

    * เสือในสกุลนีโอฟีลีส เป็นเสือขนาดกลางและไม่สามารถคำรามได้เช่นเดียวกับเสือสกุลฟีลีส มีเพียง 1 ชนิดคือ เสือลายเมฆ

    * เสือในสกุลอาซินโอนิกซ์ เป็นเสือที่มีเพียงชนิดเดียวคือ เสือชีต้า ซึ่งเป็นสัตว์บกที่วิ่งเร็วที่สุดในโลก

เสือเป็นสัตว์ที่มีกล้าม เนื้อแข็งแรง มีหัวที่ค่อนข้างกลม รูปร่างและร่างกายปราดเปรียวคล่องแคล่วว่องไว สามารถย่อง วิ่งไล่หรือจู่โจมเข้าหาเหยื่อได้อย่างรวดเร็ว ใช้เท้าหน้าทั้งสองข้างจับเหยื่อ เท้าหลังมี 4 นิ้ว เท้าหน้ามี 5 นิ้ว มีหัวแม่เท้าเล็กและอยู่สูงกว่านิ้วอื่น ๆ เสือทุกชนิดจะมีลักษณะรวมกันที่ทำให้ถูกจัดไว้ในกลุ่มของเสือแต่ก็แตกต่างจน ทำให้ต้องจำแนกออกเป็นหลายชนิด โดยดูจากลักษณะของกะโหลก สีขน ขนาดและรูปร่างของเสือ สัดส่วนของขาทั้งสีรวมไปถึงหาง ซึ่งลักษณะที่มีร่วมกันทั้งหมดสามารถที่จะอธิบายถึงลักษณะทางกายภาพเฉพาะของ เสือในแต่ละชนิด ทำให้สามารถอธิบายถึงพฤติกรรมและสภาพแวดล้อมได้

การสืบสายพันธุ์

   
เสือ เป็นสัตว์ที่ใช้ชีวิตโดดเดี่ยวอยู่ภายในป่า นอกจากในช่วงฤดูผสมพันธุ์เท่านั้น เสือจึงจะอยู่เป็นคู่ (ยกเว้นสิงโตเท่านั้นที่จะอยู่รวมกันเป็นฝูง โดยมีสิงโตตัวผู้เป็นจ่าฝูง) ในช่วงเวลาจับคู่เพื่อผสมพันธุ์กันนี้ เสือตัวเมียจะส่งเสียงร้องดังเป็นช่วง ๆ เพื่อเรียกร้องความสนใจจากเสือตัวผู้ เสือจะเริ่มผสมพันธุ์ได้ตั้งแต่อายุ 2 - 8 ปี แต่เสือจะให้ลูกเสือที่แข็งแรงดีก็ต่อเมื่อเสือตัวเมียมีอายุมากขึ้น โดยปกติแล้วเสือตัวเมียเกือบทุกชนิดจะตกไข่หลายครั้งใน 1 ปี แต่มักจะให้กำเนิดลูกเสือเพียงครั้งเดียว ซึ่งเสือบางชนิดอาจให้กำเนิดลูกเสือ 2 ตัวได้ 2 ครั้งต่อ 1 ปี ขณะที่เสือที่มีขนาดใหญ่อาจให้ลูกเพียง 1 ครั้งในช่วงระยะเวลา 2 - 3 ปี

ระยะเวลาตั้งครรภ์ของ เสืออยู่ระหว่าง 55 - 119 วัน ขึ้นอยู่กับชนิดของเสือ มักให้ลูกครอกหนึ่งตั้งแต่ 1 - 6 ตัว ลูกอ่อนของเสือจะมองไม่เห็นในช่วงระยะเวลา 7 - 10 วันแรกหลังจากคลอดและจะไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ลูกเสือเกิดใหม่มักจะมีจุดอยู่ตามลำตัวและจะอยู่กับแม่เสือตลอดเวลา เรียนรู้วิธีการใช้ชีวิตในธรรมชาติจนกว่าจะเจริญเติบโตแข็งแรง สามารถที่จะออกล่าเหยื่อได้ด้วยตนเอง จึงจะออกไปใช้ชีวิตหากินตามลำพังเช่นเดียวกับพ่อและแม่ของมัน[7]

ความสามารถในการสืบสาย พันธุ์นั้น สัตว์ชนิดเดียวกันเท่านั้นจึงจะผสมพันธุ์กันได้ สัตว์ต่างสายพันธุ์จะไม่สามารถผสมพันธุ์กันได้แม้ว่าจะอาศัยอยู่ร่วมกันก็ ตาม ซึ่งเป็นกลไกหนึ่งในกระบวนการวิวัฒนาการ การจำกัดวงของการสืบพันธุ์ไม่ใช่กฎตายตัวของกลุ่มสิ่งมีชีวิตที่มีสายพันธุ์ ใกล้ชิดกัน ลูกผสมของสิ่งมีชีวิตอาจจะเกิดขึ้นได้ไม่ว่าจะเป็นพืชหรือสัตว์ เช่นเสือขนาดใหญ่ในกรงเลี้ยงที่สามารถผสมพันธุ์ข้ามสายพันธุ์สำเร็จได้แก่ การผสมสายพันธุ์ระหว่างเสือโคร่งกับสิงโต ลูกผสมระหว่างเสือโคร่งและสิงโตคือ เสือโต หรือ Tigon (Tiger+Lion) เกิดจากเสือโคร่งเพศผู้กับสิงโตเพศเมีย และ สิงโคร่ง หรือ Liger (Lion+Tiger) เกิดจากสิงโตเพศผู้กับเสือโคร่งเพศเมีย นอกจากนี้ยังสามารถที่จะผสมสิงโตกับเสือดาว เสือจากัวร์กับเสือดาว ได้อีกด้วย

เสือโคร่งกับสิงโตจะ ให้ลูกผสมที่มีขนาดใหญ่กว่าเสือโคร่งและสิงโต มีขนสีน้ำตาลเหลืองแบบเดียวกับสิงโตแต่จะเข้มกว่ามาก และมีลายขวางลำตัวสีน้ำตาลเข้มแบบเดียวกับเสือโคร่งแต่ลายมักจะไม่ต่อเนื่อง บางแห่งอาจจะมีลายดอกที่แตกออกเป็นแฉก ๆ ส่วนลูกผสมระหว่างสิงโตกับเสือดาวจะเป็นเสือที่มีขนาดใหญ่พอ ๆ กับสิงโตและจะมีรูปร่างลักษณะคล้ายกับสิงโตมากกว่าเสือดาว ลูกผสมตัวผู้จะมีขนที่แผงคอ หางฟูและมีลายขยุ้มตีนหมาตามลำตัวแบบเดียวกับเสือดาวอีกด้วย

การผสมพันธุ์ข้ามสาย พันธุ์นั้นเกิดขึ้นได้ยากมากในธรรมชาติ เพราะสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดจะผสมพันธุ์เฉพาะในกลุ่มของตนเอง เพื่อสืบทอดลักษณะต่าง ๆ ต่อไปยังลูกหลาน ถึงแม้ว่าสิ่งมีชีวิตต่างชนิดกันนั้นจะมีความสัมพันธ์กันมาก่อน แต่การวิวัฒนาการก็ทำให้สัตว์แต่ละชนิดที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของตนเอง จนทำให้ไม่สามารถผสมพันธุ์กับเครือญาติของมันได้ในธรรมชาติ

ถิ่นที่อยู่และการล่าเหยื่อ

   
เสือเป็น สัตว์ที่หวงถิ่นที่อยู่อาศัยเป็นอย่างมากเสือที่มีขนาดใหญ่เมื่อย้ายที่อยู่ ชั่วคราวจะแผดเสียงร้องคำรามเป็นเวลานาน เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ชนิดอื่นหรือเสือด้วยกัน เข้าไปอาศัยในป่าหรือถ้ำเดิมของมัน ซึ่งเสือมักจะอาศัยอยู่อย่างโดดเดี่ยวลำพังเพียงตัวเดียว ออกหากินเฉพาะในอาณาเขตหรือถิ่นของมัน และจะคุ้มครองเขตแดนของตนไว้ หากมีการล้ำเขตแดนก็อาจจะเกิดการเผชิญหน้ากับจนถึงขั้นต่อสู้ เว้นเสียแต่ว่าเสือจ้าวถิ่นจะมีขนาดเล็กกว่า

โดยปกติแล้วเสือจะ พยายามหลีกเลี่ยงการต่อสู้หรือการเผชิญหน้ากัน โดยจะใช้วิธีการสื่อสารให้เสือตัวอื่นรู้ว่าได้ล้ำเขตแดนของตนเข้ามาแล้ว เช่น ทิ้งรอยขูดหรือรอยข่วนตามต้นไม้หรือทางเดินในอาณาเขตของเสือแต่ละตัว บางครั้งเสือจะปัสสาวะรดรอยเอาไว้เมื่อเสือตัวอื่นเห็นรอยและได้กลิ่นเสือ เจ้าถิ่นที่ทำเอาไว้ มันจะรู้ว่าเป็นรอยเก่าหรือรอยใหม่ ถ้ายังเป็นรอยใหม่มันจะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากันและไปใช้พื้นที่อื่น การเผชิญหน้ากันระหว่างเสือจ้าวถิ่นและเสือตัวอื่นจึงไม่เกิดขึ้นได้ง่ายนัก โดยปกติแล้วเสือเป็นสัตว์กินเนื้อไม่ใช่สัตว์กินซากพืชหรือซากสัตว์ การล่าเหยื่อจึงเป็นสิ่งสำคัญของการมีชีวิตรอดในธรรมชาติ แม้ว่าเสือจะมีร่างกายที่มีพละกำลัง ปราดเปรียวว่องไวและเขี้ยวเล็บที่แหลมคม แต่การมีชีวิตรอดในธรรมชาติไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ การแย่งอาหารหรือการเผชิญหน้ากันก็อาจจะเกิดขึ้นไปตลอดเวลา

เสือเป็นสัตว์รักสงบ แต่เมื่อต้องล่าเหยื่อมันจะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่อันตรายและดุร้ายที่สุด เสือมีความอดทนสูงในการรอคอยให้เหยื่อเผลอ มันจะพรางตัวซุ่มรอคอยเหยื่อโดยอาศัยสีขนและลายตามลำตัวที่กลมกลืนไปกับสภาพ แวดล้อม หากเหยื่อทำท่าเหมือนจะรู้ตัวมันจะแสร้งทำเป็นไม่สนใจ มันจะคอยหรือเดินตามเหยื่อไปห่าง ๆ ขณะที่ตาก็จับจ้องเหยื่ออยู่ตลอดเวลา และมีการมองเห็นเป็นเลิศ โดยสามารถสังเกตเห็นแม้ว่าเหยื่อจะแอบอยู่ในพุ่มไม้หรือพงหญ้า และเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยเสือใช้ความสามารถในการมองเห็นร่วมกับการดมกลิ่น และการฟังด้วย เสือสามารถได้ยินเสียงจากระยะไกล และสามารถจำแนกเสียงทั่วไปที่เกิดขึ้นในธรรมชาติ กับเสียงที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของเหยื่อได้

การจู่โจมเหยื่อของ เสือเป็นไปตามสัญชาติญาณ ในกรณีของเหยื่อที่มีขนาดเล็กและขนาดกลาง เสือจะเข้าจู่โจมทางทิศที่เหยื่อป้องกันตัวเองไม่ได้ คือจะกระโดดเข้าตระครุบเหยื่อในแนวเฉียงจากทางด้านหลัง เมื่อเสือได้ยินเสียงมันจะยกหางขึ้นและหันหน้าไปทางต้นกำเนิดเสียง ถ้าหากเป็นเสียงเหยื่อเคลื่อนไหวเสือจะสำรวจบริเวณโดยรอบก่อนแล้ว จึงจะนั่งซุ่มมองดูท่าทีของเหยื่อผ่านดงหญ้าหรือพุ่มไม้ด้วยดวงตาแหลมคม และค่อย ๆ ขยับเข้าใกล้เหยื่อจนกระทั่งอยู่ในระยะที่สามารถกระโจนเข้าหาเหยื่อได้อย่าง ง่ายโดยอาศัยฝีเท้าอันเงียบกริบโดยการหดเล็บซ่อนเอาไว้ในอุ้งเท้า ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษที่ไม่พบในสัตว์กินเนื้อชนิดอื่น และเมื่ออยู่ในระยะที่เหมาะสมมันจะย่อขาหลังลงอยู่ในท่าพร้อมกระโจนออกไป ปลายหางมีอาการกระตุกไปมา ขาด้านหน้าแยกออกจากกันเพื่อเป็นหลักในการทรงตัวและกระโจนเข้าตะปบเหยื่อ แต่สำหรับการจู่โจมเหยื่อที่มีขนาดใหญ่ของเสือที่มีขนาดใหญ่นั้น ในจังหวะสุดท้ายเสือจะเข้าตะครุบเหยื่อในระยะประชิดตัวโดยใช้เท้าหลังยึดกับ พื้น ส่งกำลังโถมตัวสูงขึ้นพร้อมกับใช้อุ้งเท้าหน้าเข้าตะปบเหยื่อ

ข้อได้เปรียบของการใช้ เท้าหลังยึดกับพื้นแทนการกระโดดเข้าตะครุบคือ การทรงตัวอันมั่นคงที่พร้อมจะจู่โจมหรือรับมือกับการต่อสู้ ในจังหวะต่อมาหรือผละถอยถ้าจำเป็น นอกจากนี้เท้าหลังยังช่วยให้มันเคลื่อนตัวไล่ติดตามเหยื่อได้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าเหยื่อจะขยับตัวหนีในจังหวะเดียวกับที่มันโถมตัวเข้าตะครุบเหยื่อแล้ว ก็ตาม ซึ่งหลังจากที่เสือใช้อุ้งเท้าเพียงหนึ่งหรือสองข้างตะปบเหยื่อแล้ว มันจะกัดเหยื่อทันทีซึ่งเกิดขึ้นรวดเร็วมากและเป็นไปโดยอัตโนมัติ คือจะมุ่งยังตำแหน่งที่ใกล้ที่สุดกับอุ้งเท้าด้านหน้าข้างที่มันใช้ตะปบ เหยื่อ โดยส่วนใหญ่จึงเป็นตำแหน่งบริเวณสันหลัง ไหล่หรือค่อนไปทางสะโพก แต่ตำแหน่งเหล่านี้ไม่ทำให้เหยื่อถึงแก่ความตาย ดังนั้นเสือจึงจะจู่โจมต่ออย่างรวดเร็วด้วยการกัดตรงหลังคอของเหยื่อซึ่งจะ ทำลายระบบประสาทและทำให้เหยื่อตายทันที

 

 

   

ขอขอบคุณ: http://th.wikipedia.org